The Wind-Soaring Valorous

The Wind-Soaring Valorous

2 Piece Set

ATK เพิ่มขึ้น 12%

4 Piece Set

อัตราคริติคอลของผู้สวมใส่ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อผู้สวมใส่ปล่อยการโจมตีต่อเนื่อง จะทำให้ท่าไม้ตายสร้าง DMG เพิ่มขึ้น 36% เป็นเวลา 1 เทิร์น

Relic Pieces

Valorous Mask of Northern Skies
Valorous Mask of Northern Skies
HEAD
หมวกเกราะอินทรีของเธอมีดวงตาเสริมสองคู่ เพื่อให้สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ ภายใต้ความสว่างแบบใดก็ตามได้อย่างแจ่มชัด ทว่าตอนนี้ ดวงตาเสริมกลับปกคลุมไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง จนทัศนวิสัยถูกย้อมด้วยสีสนิม ท่านนายพลฟื้นขึ้นจากการหมดสติ แล้วคลานออกมาจากกองซากศพ "กล้องส่องเมฆา" ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ด้านหลัง บนยอดแหลมนั้นมีประกายแสงกะพริบไม่หยุด และคอยส่งรหัสลับที่มีเพียงเหล่านักดูดาวเท่านั้น ที่จะสามารถตีความได้ เธอแบกพลังแห่งความปรารถนาของชีวิตพันธมิตรนับล้าน และอธิษฐานต่อท่านเทพ... ขณะนี้ เธอกับเหล่าสหายที่นอนเกลื่อนไร้ซึ่งไอชีวิตอยู่รอบด้าน ได้ต่อสู้อย่างดุเดือดมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อให้เสียงเรียกร้องอันแผ่วเบานี้ ดังไปถึงสวรรค์ และมอบความตายมาให้ "มาแล้ว..." นายพลพึมพำเสียงเบาพลางเงยหน้ามองขึ้นฟ้า เธอมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของท่านเทพ และไม่ได้ยินสุรเสียงของท่าน แต่เธอสัมผัสได้ถึงหลักฐานการมาเยือนของท่าน อันได้แก่ คลื่นความร้อนที่พลันปะทุขึ้น ราวกับมีเหล็กร้อนเคลื่อนอยู่บนผิวหนัง ประกายไฟสีแดงฉานลอยไปตามหมอกสีเลือด ราวกับม่านที่ปกคลุมท้องฟ้า และในชั่วพริบตาต่อมา ก็ถูกแสงที่ไม่อาจจ้องมองได้ฉีกกระชาก... มาแล้ว ปาฏิหาริย์ที่แลกมาด้วยเหล่าทหารนับไม่ถ้วนที่สู้รบจนตัวตาย เธอเคยเห็นเศษซากของวัตถุท้องฟ้า ที่ถูกเทพลงทัณฑ์จนกลายเป็นแดนมรณะ และเคยต่อสู้เพื่อไล่ตามแสงนี้เช่นกัน เดิมทีเธอคิดว่าแสงนี้รวดเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าความคิดฟุ้งซ่านเสียอีก แต่เธอคิดผิดแล้ว อย่างน้อยๆ ชั่วขณะนั้นนานพอที่จะทำให้เธอนึกถึงศิษย์คนโปรดได้ "ถ้าอย่างนั้นก็ขอพรเถอะ ขอให้เธอเดินไปอย่าง..." ผืนดินพุ่งโหมราวกับคลื่นพิโรธ เมื่อเสียงคำรามจากทะเลแสงดังขึ้น เธอก็ไร้ซึ่งความคิดใดๆ อีก และกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองในแสงสว่าง
Valorous Bracelet of Grappling Hooks
Valorous Bracelet of Grappling Hooks
HAND
กองทัพแดนเขียวขจีภายใต้คำสั่งของเธอ มีความกล้าหาญไม่แพ้สมุนหมาป่า Borisin แม้ว่าดาบและธนูจะหัก หรือไม่มีอาวุธเหล็กใดๆ อยู่ในมือแล้ว พวกเขาก็ยังสามารถอาศัยกรงเล็บแหลมคมบนเกราะแขน เพื่อต่อสู้จนถึงที่สุดได้ ว่ากันว่านักรบมนุษย์จิ้งจอกของกองทัพแดนเขียวขจี ได้ช่วยเหลือโลกที่ถูก Borisin ปกครองมามากมาย มนุษย์จิ้งจอกที่กำเนิดจาก "ดินแดนที่ถูกยึดครอง" นั้นมีสายเลือดผสม ซึ่งบางครั้งก็มีร่างกลายพันธุ์แบบย้อนกรรมพันธุ์อยู่ด้วย มนุษย์จิ้งจอกเหล่านี้จะถูกปฏิบัติดั่งทาสสงคราม และถูกผลักดันจากเหล่าผู้นำหัวหมาป่า ให้กลายเป็นกองหน้าในสงคราม และเป็นเถ้าถ่านจากปืนใหญ่ ที่คอยขัดขวางการโจมตีของ Xianzhou "เข้าร่วมกับกองทัพแดนเขียวขจีสิ พวกเราจะมอบโอกาสแก้แค้นผู้นำหัวหมาป่าให้กับคุณ!" ในระหว่างการรับสมัครและฝึกฝน นายพลยังคงจำได้ว่าตนเอ่ยพูดเช่นนี้กับมนุษย์จิ้งจอกสาวอายุน้อย แต่เธอก็รู้สึกผิดกับประโยคท่อนหลัง ที่ตนไม่อาจเอ่ยออกไปได้: คุณก็เหมือนกับฉัน เรามีชีวิตอยู่เพื่อสงคราม และก็จะตายเพื่อสงครามเช่นกัน ทาสสงครามจะมีพละกำลังและความเร็ว ที่เทียบได้กับผู้นำหัวหมาป่า แต่การกลายพันธุ์ก็ได้ทำให้ชีวิตและสติปัญญาของพวกเขา พร่องลงไปเช่นกัน เมื่อเจตจำนงถูกเผาไหม้จนสิ้นเพราะโทสะ ทาสสงครามก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ที่ดุร้ายและกระหายเลือด เมื่อเพลิงพิโรธอันบริสุทธิ์ของสัตว์ร้ายครอบงำร่างกาย หลังจากการล่าครั้งสุดท้ายของชีวิตจบลง เกราะแขนชิ้นนี้ก็จะกลายเป็นโซ่ตรวนที่พันรัดมือทั้งสองข้าง และยากที่จะแยกออกจากเลือดเนื้อได้
Valorous Plate of Soaring Flight
Valorous Plate of Soaring Flight
BODY
เธอยังคงจดจำเพลงพื้นบ้านโบราณของมนุษย์จิ้งจอกได้ มันเป็นเพลงเศร้าจากการสูญเสียบ้านเกิด ที่ร้องไม่เป็นท่วงทำนอง และหลงเหลือเพียงแค่ความโศกสลด "เจ้าจิ้งจอกเดินบนชายฝั่งห่างไกล ก้าวไปอย่างเชื่องช้า เหนื่อยล้าและหิวโหย หัวใจข้าโศกเศร้า ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้"... เมื่อหลายพันปีก่อน พวกเขากลายเป็นสัตว์เลี้ยง ทาสรับใช้ และสินค้าภายใต้กรงเล็บของหมาป่า และหลายพันปีต่อมา พวกเขาก็ยังคงต่อสู้เพื่อปลดแอกเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ แม้จะไม่มีร่างกายที่กลายพันธุ์ไม่หยุดเหมือนศัตรูตามธรรมชาติ แต่พวกเขาก็ยังมีไหวพริบที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วอยู่ ผู้นำหัวหมาป่าสั่งให้พวกเขาสร้างอาวุธเพื่อใช้งาน แต่กลับนำดวงตาสองข้างของพวกเขาไป เพื่อป้องกันไม่ให้ได้เรียนรู้วิชา ทั้งยังห้ามไม่ให้พวกเขาครอบครองโลหะ เพื่อป้องกันการสร้างเลียนแบบ แต่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่สามารถทำลายความปรารถนาในใจของเหล่ามนุษย์จิ้งจอกได้ สักวันหนึ่ง พวกเขาจะทำให้พวกนักล่า ได้เข้าใจถึงความหวาดกลัวของการถูกล่าบ้าง สักวันหนึ่ง พวกเขาจะสลับตำแหน่งกับนักล่า และจะหันไปไล่ล่าอย่างไม่หยุดยั้งบ้าง สุดท้ายแล้ว เหล่ามนุษย์จิ้งจอกก็ได้เผาเครื่องเคลือบให้เป็นชุดเกราะ คือชุดเกราะเครื่องเคลือบแห่งกองทัพแดนเขียวขจี แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ซึ่งเขี้ยวเล็บของผู้นำหัวหมาป่า และอาวุธจากเลือดเนื้อของพวกนั้น ไม่สามารถทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้แม้แต่น้อย นายพลสวมชุดเกราะเครื่องเคลือบ และทะยานไปกับสายลมร่วมกับเหล่ากองทัพแดนเขียวขจี จนกลายเป็นฝันร้ายอยู่เหนือศีรษะของเหล่า Borisin พวกเขารุกและถอยเป็นกระบวน ราวกับฝูงนกที่ออกล่าและตอบสนองต่อกัน แต่ไม่ว่าชุดเกราะนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด เธอก็เชื่อเสมอว่า กายเนื้อที่ถูกความเจ็บปวดฝึกหลอม คืออาวุธที่ดีที่สุด ส่วนเพื่อนร่วมรบที่เผชิญความทุกข์ยากด้วยกัน ก็คือเกราะที่ดีที่สุด "นกกางปีกโผบิน อสูรร้ายเผยเขี้ยวเล็บ ใครกันกล่าวว่าเราไร้สิ่งยึดถือ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์นั้นคือชุดเกราะ"
Valorous Greaves of Pursuing Hunt
Valorous Greaves of Pursuing Hunt
FOOT
เธอมองดูเงาของเด็กสาว เคลื่อนไหวราวกับกระต่ายใต้แสงจันทร์ เธอไล่ตามรอยเท้าและกลิ่นอายของเด็กสาวไป ราวกับกำลังล่าเหยื่อ และสุดท้าย เธอก็รอคอยการมาเยือนของเด็กสาวอยู่ที่ปลายทาง หรือบางที อาจเป็นเด็กสาวต่างหากที่รอคอยเธออยู่ ภายใต้แสงจันทร์ส่อง นายพลมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน "เธออยากเข้าร่วม Cloud Knight ขนาดนั้นเลยเหรอ?" "ฉันไม่อยากขายชีวิตให้ผู้นำหัวหมาป่า" ภาษา Borisin ของเด็กสาวนั้นฟังได้ยาก และสีหน้าของเด็กสาวนั้น เธอก็เคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตกที่นั่งลำบากมาก่อน ถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีสายเลือดเดียวกันกับเธอ แต่กลับพูดคนละภาษา และมีความคิดที่แตกต่างกัน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ตนจะเป็นลูกหลานของเผ่ามนุษย์จิ้งจอก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาคือใครกันแน่ล่ะ? นายพลตัวสั่นเล็กน้อย แล้วหลีกทางให้ "ไปเถอะ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะไม่ไล่ล่าเธออีกแล้ว..." "แต่ฉันอยากให้พวกเขาไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป" นายพลมองเธออย่างไม่อยากเชื่อ เป็นความตกตะลึงราวกับมองดูดาวตกที่ลอยผ่านท้องฟ้า ร่างกายของสัตว์ตัวน้อยจมดิ่งลงสู่ความมืด นายพลหลับตาลง ราวกับถูกแสงจันทร์แผดเผาดวงตา จากนั้นไม่นานเธอก็ก้มหน้าลง และมองเห็นเท้าทั้งสองข้างของเด็กสาวที่มีสีแดงแปดเปื้อน มันเต็มไปด้วยคราบเลือดและดินโคลน "ทำไมไม่ใส่รองเท้า?" "ลืม และก็ไม่รู้ตัวด้วย" นายพลถอดรองเท้าทำศึกของตัวเองแล้วเทียบขนาด ก่อนจะมอบให้เด็กสาวสวมใส่ "เหมาะดีนะ...งั้นก็ออกเดินทางเลยเถอะ" "แล้วคุณล่ะ?" "ฉันชินกับการเดินบนขวากหนามแล้วล่ะ" เธอก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่าราวกับโผบิน เด็กสาวไล่ตามเธอไปติดๆ หรือบางที พวกเธอกำลังไล่ตามเงาของกันและกันอยู่ก็ได้